สำหรับประเทศไทยพบว่า การนำโดรนเพื่อการเกษตรมาใช้นั้นยังไม่แพร่หลายนัก มีเพียงไม่กี่บริษัทที่ให้บริการจำหน่ายหรือประกอบโดรนเพื่อการเกษตร โดยยกตัวอย่างของ บริษัท เอส. เอ. ที. ไอ. แพลตฟอร์ม จำกัด ซึ่งมีการจำหน่ายและให้บริการทางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกี่ยวกับด้านการเกษตร รวมถึงโดรนเพื่อการเกษตร สำหรับฉีดพ่น และ สำรวจสภาพผลผลิต เป็นต้น บริษัทนี้เริ่มมาจากเกษตรกรคือ คุณปรกชล พรมกังวาน และ คุณกันตพงษ์ แก้วกมล(ประธานเครือข่าย Young Smart Farmer ประเทศไทย ปี 2559) ได้ร่วมกับผู้บริหารของบริษัทที่มีความรู้ความชำนาญทางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเกษตรต่างๆ
โดยคุณปรกชล เล่าให้ฟังว่า ตนเองเริ่มต้นทำการประกอบโดรนเพื่อใช้ในการเกษตรมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2558
เพื่อช่วยฉีดพ่นในสวนลำไย โดยเหตุผลที่เลือกใช้โดรนมาทำการเกษตร เนื่องจากผลิตลำไยอินทรีย์ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ในระดับสากล ต้องใช้สารชีวภัณฑ์ในการป้องกันโรคและแมลง การดูแลต้นลำไยอินทรีย์กว่า
50 ไร่ และการที่ต้นลำไยค่อนข้างเป็นทรงพุ่มสูง ทำให้การฉีดพ่นไม่ค่อยทั่วถึง ดังนั้นจึงได้ค้นหาวิธีการที่จะใช้เครื่องอำนวยความสะดวกเพื่อมาฉีดพ่นสารดังกล่าว ซึ่งก็ได้สืบค้นและหาความรู้จากทางอินเตอร์เน็ต และทำให้ได้ข้อสรุปว่าต้องเป็นอุปกรณ์ประเภทเครื่องบินเพื่อการเกษตร แต่ก็พบว่าเครื่องบินเพื่อการเกษตรนั้นมีขนาดใหญ่ และราคาสูง จากการสืบค้นพบว่าที่ประเทศญี่ปุ่นใช้เฮลิคอปเตอร์เพื่อการเกษตรกันมาก แต่ก็มีราคาค่อนข้างสูง นอกจากนั้นยังพบว่ามีข่าวอุบัติเหตุที่เฮลิคอปเตอร์ใบพัดหลุดและทำให้คนเสียชีวิต จึงค่อนข้างอันตรายต่อผู้ใช้ จนสุดท้ายพบว่าในต่างประเทศ เช่นในประเทศจีนมีการใช้เครื่องโดรนขนาดใหญ่ใช้ทางการเกษตรได้ และสามารถที่จะบังคับได้โดยผู้บังคับไม่ต้องขึ้นไปอยู่
บนเครื่อง จึงได้ตัดสินใจลองใช้โดรนเพื่อ ใช้ในสวนลำไยของตนเอง ทั้งนี้เคยประกอบโดรนเองมาแล้ว 5 ลำ โดยการศึกษาจากการแกะรื้อชิ้นส่วน แล้วทำการสั่งซื้อชิ้นส่วนมาประกอบ โดยสั่งจากประเทศจีน ลำแรกยังไม่มีประสิทธิภาพที่ ดีพอ จนกลางปี 2559 เริ่มที่จะประกอบ ได้ดีและสามารถนำมาใช้งานได้ดีพอสมควร แต่การบังคับโดรนประกอบนั้น ผู้บังคับต้องมีความรู้มีทักษะความเชี่ยวชาญในการบังคับโดรนประกอบอย่างมาก ขณะที่ราคาโดรนประกอบจะอยู่ที่ ตั้งแต่ 1 แสน – 3 แสนบาท (โดรนที่ปรกชลเคยประกอบเองอยู่ที่แสนกว่าบาท) ซึ่งราคาขึ้นอยู่กับแบตเตอรี่ ที่เคยทำเองมี
“ซึ่งจากความสามารถดังกล่าว พบว่าหากค่าจ้างฉีดพ่นในแปลงเกษตรต่อไร่ประมาณ 100 บาท ดังนั้นถ้าเป็นผู้รับจ้างฉีดพ่นสารอยู่แล้วใช้โดรนเข้าไปแทนในตรงนี้ได้ อย่างต่ำสามารถสร้างรายได้ 5 พันบาท – 1 หมื่นต่อวัน ซึ่งการคืนทุนจะเร็วมากและคุ้มค่าประหยัดเวลาการทำงาน ประหยัดแรงงาน และมีความปลอดภัยต่อผู้ฉีดมากกว่าการฉีดพ่นสารแบบดั้งเดิมหรือการใช้คนเดินฉีด เพราะการทำงาน ผู้ที่ทำการบังคับการบินของ โดรนจะอยู่ด้านนอกแปลง จึงไม่สัมผัสกับสารที่ฉีดพ่น อีกทั้งความสามารถของโดรนซึ่งเป็นข้อดีมากๆ คือให้ละอองที่ละเอียดมาก เข้าถึงใบพืชอย่างทั่วถึง สามารถกำจัดแมลงศัตรูพืชได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยที่ใช้สารเคมีน้อยลงได้ถึง 50% ซึ่งในข้อนี้ทำให้ผลผลิตทางการเกษตรมีความปลอดภัยจากสารเคมีมากกว่าการฉีดพ่นสารเคมีทางการเกษตรแบบดั้งเดิม โดยสามารถใช้กับพืชได้หลากหลาย ซึ่งจากประสบการณ์ในการให้บริการฉีดพ่นสารอารักขาพืชด้วยโดรนนั้น ได้แก่ ลำไย อ้อย ข้าวโพด ข้าว มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน กล้วย กุหลาบ ปอเทือง เป็นต้น”
คุณปรกชลยังบอกด้วยว่า ประโยชน์ที่ได้จากการใช้โดรนเพื่อการเกษตร เช่น ประหยัดน้ำได้กว่า 90% ช่วยลดเวลาการทำงานได้มากถึง 80% และลดต้นทุนค่าปัจจัยการผลิตลงกว่า 30-50% แถมเพิ่มผลผลิตได้ 10-35% พร้อมช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ซึ่งสำหรับ โดรนทางการเกษตรของบริษัท DJI จะมีระบบอัจฉริยะช่วยในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ 1.ช่วยนำเส้นทางการบินฉีดพ่น อัตโนมัติ 2.จดจำตำแหน่งสุดท้ายของการหยุดพักหรือน้ำหมดถัง สามารถกลับไปเริ่มต้น ณ จุดเดิมได้ 3. ปรับระดับความสูง-ต่ำระหว่างการบินอัตโนมัติ ในกรณีที่มีพื้นที่ลาดชันหรือต่ำลง
ดังนั้นนวัตกรรมโดรนเพื่อการ เกษตรจึงน่าจะเป็นอีกทางเลือกใหม่สำหรับเกษตรปลอดภัยและเกษตรอินทรีย์ ทำให้เพิ่มผลผลิตและลดต้นทุน ลดการใช้สารเคมี ช่วยให้เกษตรกรสามารถทำการเกษตรในยุค 4.0 ได้อย่างปลอดภัยทั้งกับตัวเองและผู้บริโภคด้วย
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ บริษัท เอส. เอ. ที. ไอ. แพลตฟอร์ม จำกัด (S.A.T.I. Platform Ltd.) 43/161 ซอยลาดพร้าว 80 แยก 26 ถนนลาด พร้าว แขวง/เขตวังทองหลาง กรุงเทพฯ 10310 หรือโทร. 081-951-7056 (คุณปรกชล) และ 088-547-6212 (คุณกันตพงษ์)